ลอนดอน, 22 กรกฎาคม – นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย เดินทางเยือนสหราชอาณาจักรเพื่อร่วมลงนามในข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับนายกรัฐมนตรีเซอร์เคียร์ สตาร์เมอร์ ผู้นำคนใหม่ของอังกฤษ ในข้อตกลงที่ถูกยกให้เป็น “จุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจ” ครั้งสำคัญของทั้งสองประเทศ
ข้อตกลงนี้ซึ่งเจรจากันมายาวนานเกือบ 3 ปี ได้ข้อสรุปในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายเพื่อลดภาษีนำเข้าสินค้าหลายรายการ และเปิดตลาดการค้าระหว่างกันให้กว้างขึ้น
ฝั่งอินเดียตกลงที่จะลดภาษีนำเข้าสำหรับสินค้าอังกฤษหลายประเภท เช่น วิสกี้ จิน และรถยนต์ ในขณะที่สหราชอาณาจักรจะเปิดทางให้สินค้าอินเดียอย่างสิ่งทอ อัญมณี รวมถึงยานยนต์ไฟฟ้าและไฮบริด เข้าสู่ตลาดอังกฤษได้มากขึ้น
“ข้อตกลงนี้ถือเป็นชัยชนะของสหราชอาณาจักร” นายกรัฐมนตรีสตาร์เมอร์กล่าวเมื่อวันพุธ “จะก่อให้เกิดการจ้างงานหลายพันตำแหน่งทั่วประเทศ เปิดโอกาสทางธุรกิจ และช่วยขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจของเรา”
รัฐบาลอังกฤษประเมินว่าข้อตกลงนี้จะเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจได้ราว 4.8 พันล้านปอนด์ต่อปี และคาดว่ามูลค่าการค้าระหว่างสองประเทศจะเพิ่มขึ้นอีก 25.5 พันล้านปอนด์ต่อปีภายในปี 2040 ปัจจุบัน มูลค่าการค้าระหว่างอินเดียและอังกฤษอยู่ที่ 42.6 พันล้านปอนด์ (ข้อมูลปี 2024)
แม้ข้อตกลงจะบรรลุผลแล้วในระดับเจรจา แต่ยังต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาอังกฤษ คณะรัฐมนตรีอินเดียได้อนุมัติข้อตกลงไปแล้วเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ตามรายงานของสำนักข่าว PTI
นายกรัฐมนตรีโมดีเรียกข้อตกลงนี้ว่า “หมุดหมายสำคัญทางประวัติศาสตร์” ที่จะส่งเสริมการค้า การลงทุน การจ้างงาน และนวัตกรรมระหว่างสองประเทศ พร้อมระบุผ่านแพลตฟอร์ม X (เดิมคือ Twitter) ว่าเป็นข้อตกลงที่ “ทะเยอทะยานและเป็นประโยชน์ร่วมกัน”
การเยือนครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 4 ของนายกรัฐมนตรีโมดีในสหราชอาณาจักรนับตั้งแต่ดำรงตำแหน่งในปี 2014
นอกจากการลงนามในข้อตกลงแล้ว ผู้นำทั้งสองยังมีกำหนดหารือถึงเหตุการณ์สำคัญอื่น ๆ เช่น อุบัติเหตุทางอากาศของสายการบินแอร์อินเดีย เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งเกิดขึ้นที่เมืองอาห์เมดาบัด รัฐคุชราต ประเทศอินเดีย โดยเที่ยวบินที่มุ่งหน้าสู่กรุงลอนดอนตกกลางทาง ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 260 ราย
ในระหว่างการเยือนระยะสั้นนี้ นายกรัฐมนตรีโมดียังมีกำหนดเข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 อีกด้วย
ข้อตกลงนี้ถือเป็นความคืบหน้าสำคัญในความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นสมาชิกเครือจักรภพ และยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามของอังกฤษในการขยายพันธมิตรทางเศรษฐกิจหลังยุค Brexit